เมนู

พรรณนา วงศ์พระเรวตพุทธเจ้าที่ 5



ต่อมา ภายหลังสมัยของพระผู้มีพระภาคเจ้า สุมนะ เมื่อศาสนาของ
พระองค์อันตรธานไปแล้ว พวกมนุษย์ที่มีอายุเก้าหมื่นปี ก็ลดลงโดยลำดับ
จนมีอายุสิบปี แล้วก็เพิ่มขึ้นโดยลำดับ จนมีอายุหนึ่งอสงไขย แล้วก็ลดลงอีก
จนมีอายุหกหมื่นปี. สมัยนั้น พระศาสดาพระนามว่า เรวตะ เสด็จอุบัติขึ้น
แม้พระองค์ก็ทรงบำเพ็ญบารมีทั้งหลายแล้วบังเกิดในสวรรค์ชั้นดุสิต ซึ่งเป็น
ภพที่รุ่งโรจน์ด้วยรัตนะเป็นอันมาก จุติจากสวรรค์ชั้นดุสิตนั้นแล้ว ก็ทรงถือ
ปฏิสนธิในพระครรภ์ของพระนางวิปุลา ผู้ไพบูลย์ด้วยคุณราศรีอันงดงามและน่า
จับใจ ซึ่งเป็นจุดรวมดวงตาของชนทั้งปวง เรืองรองด้วยความงาม ซึ่งเกิด
จากดวงหน้าและดวงใจอันมีสิริน่ารักดุจดอกบัวบานตระการตา อัครมเหสีใน
ราชสกุลของพระเจ้าวิปุลราช ผู้ไพบูลย์ด้วยความมั่งคั่งทุกอย่าง อันเกลื่อน
ด้วยเหตุเกิดแห่งสิริสมบัติ ทรงถูกห้อมล้อมด้วยราชบริพารอันงดงามประมาณ
มิได้ ประดับกายด้วยเครื่องอลังการทั้งปวง ในกรุงสุธัญญวดี ซึ่งมีทรัพย์
และข้าวเปลือกพร้อมสรรพ ถ้วนกำหนดทศมาสก็ประสูติจากพระครรภ์ของ
พระชนนี ดุจพญาหงส์ทองบินออกจาก จิตรกูฏบรรพต.
ปาฏิหาริย์ทั้งหลาย ในการปฏิสนธิและประสูติของพระองค์ ก็มีนัยดัง
กล่าวมาแล้วแต่ก่อน. พระองค์มีปราสาท 3 หลัง ชื่อสุทัสสนะ รตนัคฆิและ
อาเวฬะ สตรีจำนวนสามหมื่นสามพันนาง มีพระนางสุทัสสนาเทวีเป็นประธาน
ก็ปรากฏ. พระเรวตราชกุมารนั้น อันเหล่ายุวนารีผู้กล้าหาญแวดล้อมแล้ว
ทรงครองฆราวาสวิสัยเสวยสุขอยู่หกพันปี เหมือนเทพกุมาร เมื่อพระโอรส
พระนามว่า วรุณะ ของพระนางสุทัสสนาเทวีประสูติ พระองค์ก็ทรงเห็นนิมิต 4

แล้วทรงเครื่องนุ่งห่มอย่างดีเบาๆ มีสีสรรต่างๆ ทรงสวมกุณฑลมณีมุกดาหาร
ทรงทองพาหุรัดมงกุฏและกำไลพระกรอย่างดี ทรงประดับด้วยของหอมและ
ดอกไม้ที่มีกลิ่นหอมอย่างยิ่ง เป็นกลุ่มที่ทำความงามอย่างยิ่ง เหมือนดวงจันทร์
ในฤดูสารท อันจตุรงคินีเสนาทัพใหญ่แวดล้อมแล้วประหนึ่งดวงจันทร์อันหมู่
ดาราเเวดล้อม ประหนึ่งท้าวสหัสนัยน์อันหมู่เทพชั้นไตรทศแวดล้อมแล้ว และ
ประหนึ่งท้าวหาริตมหาพรหมอันหมู่พรหมแวดล้อมแล้ว เสด็จออกอภิเนษกรมณ์
ด้วยรถเทียมม้า ทรงเปลื้องเครื่องสรรพาภรณ์ ประทานไว้ในมือพนักงานเรือน
คลังหลวง ทรงตัดพระเกศาและมงกุฏของพระองค์ ด้วยมีดที่ลับคมกริบเฉก
เช่นกลีบดอกบัวเกิดในน้ำที่ไร้มลทินและไม่วิกล แล้วทรงโยนขึ้นไปในอากาศ.
ท้าวสักกเทวราชก็ทรงเอาผอบทองรองรับพระเกศาและมงกุฏนั้นไว้ ทรงนำ
ไปยังภพดาวดึงส์ ทรงสร้างพระเจดีย์สำเร็จด้วยรัตนะ 7 ประการไว้เหนือยอด
ขุนเขาสิเนรุ.
ฝ่ายพระมหาบุรุษทรงครองผ้ากาสายะ. ที่เทวดาถวายแล้วทรงผนวช.
บุรุษโกฏิหนึ่งก็บวชตามเสด็จพระองค์. พระมหาบุรุษนั้น อันบุรุษเหล่านั้น
แวดล้อมแล้ว ทรงบำเพ็ญความเพียรอยู่ 7 เดือน ในวันวิสาขบูรณมี เสวย
ข้าวมธุปายาส ที่ธิดาเศรษฐีผู้หนึ่ง ชื่อว่า สาธุเทวี ถวาย แล้วทรงยับยั้งพักกลาง
วัน ณ สาละวัน ตอนเย็นทรงรับหญ้า 8 กำ ที่อาชีวกผู้หนึ่งถวายแล้ว เสด็จ
เข้าไปที่ต้นนาคะ (กากะทิง) อันประเสริฐที่น่าชื่นชม ทรงทำประทักษิณโพธิ-
พฤกษ์ชื่อต้นนาคะ ทรงลาดสันถัตหญ้า กว้าง 53 ศอก แล้วประทับนั่ง
อธิษฐานความเพียรมีองค์ 4 ทรงกำจัดกองกำลังมาร ทรงแทงตลอดพระ
สัพพัญญุตญาณ ทรงเปล่งพระอุทานว่า
อเนกชาติสํสารํ ฯ เป ฯ ตณฺหานํ ขยมชฺฌคา
ด้วยเหตุนั้นจึงตรัสว่า

ต่อจากสมัยของพระสุมนพุทธเจ้า พระชิน-
พุทธเจ้าพระนามว่า เรวตะ ผู้นำโลก ไม่มีผู้เปรียบ
ไม่มีผู้เสมือน ไม่มีผู้วัด ทรงเป็นผู้สูงสุด ดังนี้.

ได้ยินว่า พระเรวตศาสดา ทรงยับยั้ง ณ ที่ใกล้โพธิพฤกษ์นั่นแล
7 สัปดาห์ ทรงรับคำอาราธนาของท้าวมหาพรหม เพื่อทรงแสดงธรรม ทรง
ใคร่ครวญว่าจะแสดงธรรมแก่ใครก่อนหนอ ทรงเห็นภิกษุโกฏิหนึ่งที่บวชกับ
พระองค์ และเทวดากับมนุษย์อื่นเป็นอันมากเป็นผู้ถึงพร้อมด้วยอุปนิสัย จึง
เสด็จไปทางอากาศ เสด็จลงที่พระวิหารวรุณาราม อันภิกษุเหล่านั้นแวดล้อม
แล้ว ทรงประกาศพระธรรมจักรอันยอดเยี่ยม ที่ลุ่มลึกละเอียด มีปริวัฏ 3
ซึ่งผู้อื่นประกาศไม่ได้ ทรงยังภิกษุโกฏิหนึ่งให้ตั้งอยู่ในพระอรหัต ผู้ที่ตั้งอยู่
ในมรรคผล 3 กำหนดจำนวนไม่ถ้วน ด้วยเหตุนั้นจึงตรัสว่า
แม้พระเรวตพุทธเจ้าพระองค์นั้น อันมหาพรหม
อาราธนาแล้ว ทรงประกาศธรรมซึ่งกำหนดขันธ์ธาตุ
อันเป็นเหตุไม่เป็นไปในภพน้อยภพใหญ่.


แก้อรรถ
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ขนฺธธาตุววตฺถานํ ได้แก่ ทำการ
จำแนกขันธ์ 5 ธาตุ 18 โดยกำหนดนามรูปเป็นต้น. กำหนดรูปธรรมและ
อรูปธรรม โดยสภาวลักษณะและสามัญลักษณะเป็นต้น ชื่อว่า กำหนดขันธ์
และธาตุ. อนึ่งพึงทราบการกำหนดขันธ์และธาตุ แม้โดยอนิจจานุปัสสนาเป็น
อาทิ โดยนัยเป็นต้นอย่างนี้ว่า รูปเปรียบเหมือนก้อนฟองน้ำ เพราะไม่ทน
ต่อการย่ำยี และเพราะต้องขาดวิ่นเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยเป็นต้น เวทนาเปรียบ

เหมือนฟองน้ำเพราะรื่นรมย์อยู่ชั่วขณะ สัญญาเปรียบเหมือนพยับแดดเพราะ
ความย่อยยับไป สังขารทั้งหลายเปรียบเหมือนต้นกล้วย เพราะไม่มีแก่น วิญญาณ
เปรียบเหมือนนักเล่นกล เพราะลวง. ในคำนี้ว่า อปฺปวตตํ ภวาภเว ความว่า
ความเจริญ ชื่อว่า ภวะ ความเสื่อม ชื่อว่า อภวะ. พึงทราบความแห่งภวะและ
อภวะ โดยนัยเป็นต้นอย่างนี้ว่า สัสสตทิฏฐิ ชื่อว่า ภวะ อุจเฉททิฏฐิ ชื่อว่า
อภวะ. ภพน้อยชื่อว่า ภวะ ภพใหญ่ชื่อว่า อภวะ, กามภพชื่อว่า ภวะ รูป
ภพและอรูปภพ ชื่อว่า อภวะ. อธิบายว่า ทรงประกาศธรรมอันเป็นเหตุไม่
เป็นไปแห่งภวะและอภวะเหล่านั้น. อีกนัยหนึ่ง อุปปัตตินิมิตในภพทั้งสามมี
กามภพเป็นต้น ชื่อว่า ภวะ เพราะเป็นเครื่องเป็นเครื่องมีอุปปัตติภพ ชื่อว่า
อภวะ อธิบายว่า ทรงแสดงธรรม อันทำการละความยินดีในภวะและอภวะทั้ง
สอง คือไม่เป็นไป. ก็พระเรวตพุทธเจ้าพระองค์นั้น ทรงมีอภิสมัย 3
เหมือนกัน. แต่อภิสมัยครั้งที่ 1 ของพระองค์ เหลือที่จะนับจำนวนของผู้
ตรัสรู้ได้. ด้วยเหตุนั้น จึงตรัสว่า
ในการแสดงธรรมของพระองค์ ก็มีอภิสมัย 3
ครั้ง. แต่อภิสมัยครั้งที่ 1 กล่าวด้วยการนับจำนวนผู้
ตรัสรู้ไม่ได้.


แก้อรรถ
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ตีณิ ก็คือ 3. ท่านทำเป็นลิงควิปลาส.
อภิสมัยครั้งที่ 1 นี้ได้มีแล้ว.
สมัยต่อมา ได้มีพระราชาพระนามว่า อรินทมะ ผู้ทรงชนะข้าศึก
ในอุตตรนคร ซึ่งเป็นนครฝ่ายเหนือ. ได้ยินว่า พระเจ้าอรินทมะพระองค์นั้น
ทรงทราบข่าวว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จถึงนครของพระองค์ ทรงมีชนสามโกฏิ
ห้อมล้อมเสด็จออกไปรับเสด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า นิมนต์เพื่อเสวยในวันรุ่งขึ้น

ทรงถวายมหาทาน 7 วัน แด่ภิกษุสงฆ์ มีพระพุทธเจ้าเป็นประธานทรงทำการ
บูชาด้วยประทีป กว้างสามคาวุต เข้าเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าประทับนั่งแล้ว.
ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงแสดงธรรมมีนัยอันวิจิตร เหมาะแก่พระ-
หฤทัยของพระเจ้าอรินทมะนั้น. ในที่ประชุมนั้น อภิสมัยครั้งที่ 2 ได้มี แก่
เทวดาและมนุษย์พันโกฏิ ด้วยเหตุนั้น จึงตรัสว่า
ครั้งใด พระเรวตมุนี ทรงแนะนำพระเจ้า-
อรินทมะ ครั้งนั้น อภิสมัยครั้งที่ 2 ได้มีแก่เทวดา
และมนุษย์พันโกฏิ.

นี้เป็นอภิสมัยครั้งที่ 2.
สมัยต่อมา พระเรวตศาสดา ทรงอาศัยอุตตรนิคมประทับอยู่ ประ-
ทับนั่งเข้านิโรธสมาบัติอยู่ 7 วัน. ได้ยินว่า ครั้งนั้นมนุษย์ชาวอุตตรนิคม นำ
เอาข้าวต้มข้าวสวย ของขบฉัน เภสัชและน้ำปานะเป็นต้น ถวายมหาทานแด่
ภิกษุสงฆ์แล้วพากันถามว่า ท่านเจ้าข้า พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ที่ไหน.
ภิกษุทั้งหลายก็บอกแก่มนุษย์เหล่านั้นว่า ท่านผู้มีอายุ พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงเข้า
นิโรธสมาบัติ. เมื่อล่วงไป 7 วัน พวกเขาก็เห็นพระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงออก
จากนิโรธสมาบัติ ทรงรุ่งโรจน์ด้วยพุทธสิริของพระองค์หาที่เปรียบมิได้
เหมือนดวงอาทิตย์ในฤดูสารท จึงทูลถามคุณานิสงส์ของนิโรธสมาบัติ. พระ-
ผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสคุณานิสงส์ของนิโรธสมาบัติแก่มนุษย์เหล่านั้น ครั้งนั้น
เทวดาและมนุษย์ร้อยโกฏิ ก็ตั้งอยู่ในพระอรหัต. นี้เป็นอภิสมัยครั้งที่ 3 ด้วย
เหตุนั้น จึงตรัสว่า
ในวันที่ 7 พระนราสภ ทรงออกจากที่เร้นแล้ว
ทรงแนะนำเทวดาและมนุษย์ร้อยโกฏิในผลสูงสุด ดังนี้.

ใน สุธัญญวดีนคร พระอรหันต์ที่บวชด้วยเอหิภิกขุบรรพชาจำนวน
นับไม่ถ้วน ได้มีสันนิบาตครั้งที่ 1 ในมหาปาติโมกขุทเทศครั้งที่ 1. ใน
เมขลนคร พระอรหันต์ที่บวชด้วยเอหิภิกขุบรรพชานับได้แสนโกฏิ ก็ได้มี
สันนิบาตครั้งที่ 2. พระอัครสาวกของพระผู้มีพระภาคเจ้าเรวตะ ชื่อว่าวรุณะ
ผู้อนุวัตรตามพระธรรมจักรเป็นยอดของภิกษุผู้มีปัญญาทั้งหลาย เกิดอาพาธ ใน
ครั้งนั้น พระเรวตพุทธเจ้าทรงแสดงธรรม อันแสดงถึงไตรลักษณ์แก่มหาชน
ที่ประชุมกัน เพื่อต้องการถามภิกษุไข้ ทรงยังบุรุษแสนโกฏิให้บวชด้วยเอหิ-
ภิกขุบรรพชาแล้วให้ตั้งอยู่ในพระอรหัต ทรงยกปาติโมกข์ขึ้นแสดงในสันนิบาต
ที่ประกอบด้วยองค์ 4 นี้เป็นสันนิบาตครั้งที่ 3. ด้วยเหตุนั้น จึงตรัสว่า
พระเรวตพุทธเจ้า ผู้แสวงคุณยิ่งใหญ่ ทรงมี
สันนิบาตประชุมพระขีณาสพ ผู้ไร้มลทิน หลุดพ้นดี
แล้ว ผู้คงที่ 3 ครั้ง.
ผู้ที่ประชุมกันครั้งที่ 1 เกินที่จะนับจำนวนได้
ในการประชุมครั้งที่ 2 นับจำนวนผู้ประชุมได้แสน
โกฏิ.
ครั้งที่พระวรุณะอัครสาวก ผู้ไม่มีผู้เสมอด้วย
ปัญญา ผู้อนุวัตรพระธรรมจักรตามพระเรวตพุทธเจ้า
พระองค์นั้น เกิดอาราธนาหนักต้องสงสัยในชีวิต.
ครั้งนั้น เหล่าพระมุนีผู้เป็นพระอรหันต์จำนวน
แสนโกฏิเข้าไปหา เพื่อถามถึงอาพาธของท่าน เป็น
การประชุมครั้งที่ 3.

แก้อรรถ


บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า จกฺกานุวตฺตโก ได้แก่ ผู้อนุวัตรตาม
พระธรรมจักร. ในคำว่า ปตฺโต ชีวิตสํสยํ นี้ ความสงสัยในชีวิต ชื่อว่า
ชีวิตสังสยะ. ถึงความสงสัยในชีวิตอย่างนี้ว่า พระเถระถึงความสิ้นชีวิตหรือ
หรือยังไม่ถึงความสิ้นชีวิต อธิบายว่า ถึงความสงสัยในชีวิตว่า เพราะภาวะที่
อาพาธรุนแรงพระเถระจะมรณภาพ หรือไม่มรณภาพ. บทว่า เย ตทา
อุปคตา มุนี
เมื่อเป็นทีฆะ ดังนี้ ก็หมายความถึงภิกษุทั้งหลาย เมื่อเป็นรัสสะ
พร้อมทั้งนิคคหิต [มุนี] ก็หมายความถึงพระวรุณะอัครสาวก.
ครั้งนั้น พระโพธิสัตว์ของเรา เป็นพราหมณ์ ชื่อว่า อติเทวะ ใน
รัมมวดีนคร ถึงฝั่งในพราหมณธรรม เห็นพระเรวตสัมมาสัมพุทธเจ้า ฟัง
ธรรมกถาของพระองค์แล้วตั้งอยู่ในสรณะ กล่าวสดุดีพระทศพลด้วยคาถาพัน
โศลก บูชาด้วยผ้าห่มมีค่าเรือนพัน. แม้พระพุทธเจ้าพระองค์นั้นก็ทรงพยากรณ์
พระโพธิสัตว์นั้นว่า จักเป็นพระพุทธเจ้าพระนามว่า โคตมะ ในที่สุดสอง
อสงไขยกำไรแสนกัป นับแต่กัปนี้ไป. ด้วยเหตุนั้น จึงตรัสว่า
สมัยนั้น เราเป็นพราหมณ์ ชื่อว่า อติเทวะ เข้า
ไปเฝ้าพระเรวตพุทธเจ้า ถึงพระองค์เป็นสรณะ.
เราสรรเสริญศีล สมาธิและพระปัญญาคุณอันสูง
สุดของพระองค์ตามกำลัง ได้ถวายผ้าอุตตราสงค์.
แม้พระเรวตพุทธเจ้า ผู้นำโลกพระองค์นั้นก็ทรง
พยากรณ์เราว่า ท่านผู้นี้จักเป็นพระพุทธเจ้าในกัปที่หา
ประมาณมิได้ นับแต่กัปนี้ไป.